ศูนย์วิชาการ แฮปปี้โฮม
รวบรวมและเผยแพร่ ข้อมูลความรู้ทางวิชาการ ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาเด็กและวัยรุ่น
รวมถึงการรับจัดฝึกอบรม สัมมนา กิจกรรมวิชาการ นิทรรศการเผยแพร่ความรู้
เพื่อเป็นการเรียนรู้ร่วมกันระหว่าง ผู้ปกครอง นักวิชาการ และประชาชนทั่วไปที่สนใจ
อัพเดทเรื่องสมาธิสั้น
ADHD Update
นพ.ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
บทนำ
สมาธิสั้น (Attention-Deficit/ Hyperactivity Disorder - ADHD) เป็นโรคทางจิตเวชที่พบได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่น ที่มีผลต่อการควบคุมสมาธิ การกระทำที่หุนหันพลันแล่น และพฤติกรรมที่ซุกซน โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความรู้เกี่ยวกับโรคสมาธิสั้นมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องผ่านการศึกษาทางพันธุกรรม ชีววิทยา และพฤติกรรม ที่มุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจกลไกการเกิดโรค รวมถึงการพัฒนาวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
บทความนี้จะกล่าวถึงข้อมูลใหม่ ๆ เกี่ยวกับโรคสมาธิสั้นที่ได้จากงานวิจัยและเอกสารวิชาการล่าสุด เพื่อให้เห็นถึงความคืบหน้าทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน
1. การวิจัยทางพันธุกรรมและชีววิทยา
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การศึกษาเกี่ยวกับพันธุกรรมของโรคสมาธิสั้นมีความก้าวหน้ามากขึ้น จากการศึกษาด้วยเทคโนโลยี Genome-Wide Association Studies (GWAS) พบว่า มียีนหลายตัวที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาของโรคสมาธิสั้น โดยเฉพาะยีนที่เกี่ยวข้องกับระบบโดปามีน (dopamine) เช่น DRD4 และ DAT1 ยังคงเป็นที่สนใจในแง่ของการกลายพันธุ์ และการทำงานที่ผิดปกติในกลุ่มผู้ป่วย
การศึกษาในปัจจุบันยังชี้ให้เห็นว่า ยีนที่เกี่ยวข้องกับระบบเซโรโทนิน (serotonin) และกลูตามีน (glutamine) ก็มีบทบาทในการเกิดของโรคสมาธิสั้นอีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโรคนี้อาจเป็นผลมาจากการทำงานที่ซับซ้อนของหลายระบบในสมอง ไม่เพียงแต่ระบบโดปามีนเท่านั้น
นอกจากนี้ การใช้การถ่ายภาพสมองด้วยวิธี fMRI (Functional Magnetic Resonance Imaging) ทำให้เห็นถึงความผิดปกติของการทำงานของสมองในหลายส่วน โดยเฉพาะในบริเวณ prefrontal cortex ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการตัดสินใจและการควบคุมอารมณ์
ผลการวิจัยเหล่านี้ช่วยให้เข้าใจมากขึ้นว่า อาการของโรคสมาธิสั้นเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของวงจรประสาทในสมอง
2. สมาธิสั้นในวัยผู้ใหญ่
ก่อนหน้านี้โรคสมาธิสั้นมักถูกมองว่าเป็นโรคของเด็กและวัยรุ่น แต่การวิจัยในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่าผู้ป่วยสมาธิสั้นจำนวนมากยังคงมีอาการต่อเนื่องไปถึงวัยผู้ใหญ่ จากการศึกษาระยะยาวพบว่าประมาณร้อยละ 65 ของเด็กที่มีอาการสมาธิสั้นยังคงแสดงอาการในวัยผู้ใหญ่
แม้ว่าลักษณะของอาการอาจเปลี่ยนไป โดยในวัยผู้ใหญ่ อาการของความซุกซนหรือหุนหันพลันแล่นอาจลดลง เปลี่ยนเป็นอาการของความไม่สงบภายใน (internal restlessness) และมักมีปัญหาในการจัดการเวลา การจัดระเบียบชีวิต การวางแผนงาน และการควบคุมอารมณ์ ซึ่งอาจส่งผลต่อความสำเร็จในชีวิตการทำงานและความสัมพันธ์
นอกจากนี้ โรคสมาธิสั้นในวัยผู้ใหญ่ยังมีความเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า และการใช้สารเสพติด และยังพบโรคร่วม ได้แก่ โรคอ้วน โรคหอบหืด และปัญหาการนอน การทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของอาการและปัญหาที่มาพร้อมกับโรคสมาธิสั้นในวัยผู้ใหญ่ ทำให้สามารถพัฒนาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. การพัฒนาวิธีการรักษาใหม่
การรักษาสมาธิสั้นในปัจจุบัน ยังคงเน้นที่การรักษาด้วยยา โดยเฉพาะกลุ่มยากระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง (stimulants) ได้แก่ methylphenidate, lisdexamfetamine และ dexamfetamine ซึ่งเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมอาการหลักของโรค มีรูปแบบการออกฤทธิ์หลากหลายให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละคน ทั้งรูปแบบออกฤทธิ์สั้น ปานกลาง และยาว
อย่างไรก็ตาม มีการพัฒนากลุ่มยาที่ไม่ใช่กลุ่มยากระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ได้แก่ atomoxetine, guanfacine, clonidine และตัวล่าสุดคือ viloxazine ซึ่งยาเหล่านี้ได้รับการยอมรับในการรักษาโรคสมาธิสั้นในกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยา stimulants หรือมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา
นอกจากนี้ งานวิจัยใหม่ ๆ ยังมุ่งเน้นไปที่การบำบัดแบบไม่ใช้ยา (non-pharmacological) เช่น การฝึกทักษะการควบคุมอารมณ์ และการบำบัดทางพฤติกรรม ซึ่งเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในกลุ่มเด็กและผู้ใหญ่ที่มีปัญหาเรื่องสมาธิ
การฝึกสมาธิ (Mindfulness Training) ช่วยให้สามารถควบคุมความคิดและอารมณ์ได้ดีขึ้น ซึ่งสามารถลดอาการกระวนกระวายและเพิ่มสมาธิได้
การใช้ Neurofeedback หรือการฝึกการทำงานของสมองผ่านการกระตุ้นคลื่นสมอง ยังแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการลดอาการสมาธิสั้น และยังมีแอปพลิเคชันที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในการจัดการกับเวลา เช่น ติดตามกิจกรรม ตั้งเตือน และสร้างตารางเวลา
การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาสมาธิสั้นด้วยยาอย่างสม่ำเสมอ มักมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า และมีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาการใช้สารเสพติดในวัยผู้ใหญ่มากกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการรักษา ซึ่งขัดแย้งกับความเชื่อที่ว่ายาเหล่านี้จะก่อให้เกิดการเสพติด สิ่งที่สำคัญคือการใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
4. ความเชื่อมโยงกับสุขภาพจิตและความเป็นอยู่
ความรู้ใหม่ในปัจจุบันชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างโรคสมาธิสั้นกับสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิต ผู้ป่วยสมาธิสั้นมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาทางสุขภาพจิตอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล และความผิดปกติของการนอน
นอกจากนี้ ผลกระทบของโรคสมาธิสั้นยังส่งผลต่อความสำเร็จในการทำงาน การเรียน และความสัมพันธ์ทางสังคม สมาธิสั้นยังมีความเชื่อมโยงกับพฤติกรรมเสี่ยงสูง เช่น การใช้สารเสพติด ความหุนหันพลันแล่น และอุบัติเหตุ
การที่มีสมาธิสั้น อาจทำให้คุณภาพชีวิตในภาพรวมลดลง อาจรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ดีได้ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบทางลบต่อการมองตัวเอง และการรับรู้ความสำเร็จในชีวิต อย่างไรก็ตาม การรักษาที่ถูกต้องสามารถช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต และช่วยให้สามารถจัดการกับอาการได้ดีขึ้น
งานวิจัยในปัจจุบันพยายามทำความเข้าใจกลไกที่เชื่อมโยงกันระหว่างโรคสมาธิสั้นกับปัญหาทางสุขภาพจิต และหาวิธีการรักษาที่จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถปรับตัว และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น
บทสรุป
ความรู้เกี่ยวกับสมาธิสั้นได้พัฒนาขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การศึกษาด้านพันธุกรรม ชีววิทยา จนถึงการพัฒนาวิธีการรักษาใหม่ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยได้หลากหลายมากขึ้น
สมาธิสั้นเป็นภาวะที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย ตั้งแต่พันธุกรรม ระบบประสาท จนถึงสิ่งแวดล้อม การทำความเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างปัจจัยเหล่านี้ จะช่วยในการพัฒนาวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยต่อไป
เอกสารอ้างอิง
ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา. (2565). คู่มือการดูแลสุขภาพจิตเด็ก กลุ่มปัญหาการเรียน. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
Boland, R. & Verduin, M. L., eds. (2022). Neurodevelopmental disorders and other childhood disorders. In: Kaplan and Sadock’s synopsis of psychiatry 12th ed. (e-book). Wolters Kluwer; pp. 306-725.
Caye, A., Rocha, T. B. M., Anselmi, L., Murray, J., Menezes, A. M. B., Barros, F. C., … & Kieling, C. (2016). Attention-deficit/hyperactivity disorder trajectories from childhood to young adulthood: evidence from a birth cohort supporting a late-onset subtype. JAMA Psychiatry, 73(7): 705-12.
Faraone, S. V., & Larsson, H. (2019). Genetics of attention deficit hyperactivity disorder. Mol Psychiatry, 24(4): 562-75.
Instanes, J. T., Klungsoyr, K., Romundstad, P. R., Halmoy, A., Fasmer, O. B., & Haavik, J. (2016). Adult ADHD and comorbid somatic disease: a systematic literature review. J Atten Disord, 20(10): 815-24.
Nazarova, V. A., Sokolov, A. V., Chubarev, V. N., Tarasov, V. V. & Schiöth, H. B. (2022). Treatment of ADHD: drugs, psychological therapies, devices, complementary and alternative methods as well as the trends in clinical trials. Front. Pharmacol, 13: 1066988.
Núñez-Jaramillo, L., Herrera-Solís, A. & Herrera-Morales, W. V. (2021). ADHD: reviewing the causes and evaluating solutions. J Pers Med, 11(3): 166.
Williams, O. C., Prasad, S., McCrary, A., Jordan, E., Sachdeva, V., Deva, S., Kumar, H,, Mehta, J., Neupane, P. & Gupta, A. (2023). Adult attention deficit hyperactivity disorder: a comprehensive review. Ann Med Surg (Lond), 85(5): 1802-10.
บทความทั้งหมดยินดีให้นำไป เผยแพร่เพื่อความรู้ได้ โดยกรุณาอ้างอิงแหล่งที่มา
ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา. (2567). อัพเดทเรื่องสมาธิสั้น. จาก https://www.happyhomeclinic.com/adhd08-update.html
(บทความต้นฉบับ: ตุลาคม 2567)
นพ.ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
การศึกษา
· แพทยศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
· วุฒิบัตรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สาขาจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น (จุฬาฯ)