ศูนย์วิชาการ แฮปปี้โฮม
รวบรวมและเผยแพร่ ข้อมูลความรู้ทางวิชาการ ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาเด็กและวัยรุ่น
รวมถึงการรับจัดฝึกอบรม สัมมนา กิจกรรมวิชาการ นิทรรศการเผยแพร่ความรู้
เพื่อเป็นการเรียนรู้ร่วมกันระหว่าง ผู้ปกครอง นักวิชาการ และประชาชนทั่วไปที่สนใจ
สมาธิสั้นกับการพยากรณ์โรค
Prognosis of ADHD
นพ.ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
บทนำ
สมาธิสั้น (Attention Deficit/ Hyperactivity Disorder - ADHD) เป็นโรคทางจิตเวชที่พบได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่น โดยมีลักษณะอาการสำคัญ คือ ขาดสมาธิ ความซุกซนเกินวัย และพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น อาการเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการเรียน การทำงาน และการเข้าสังคม
ดังนั้น การพยากรณ์โรค (prognosis) จึงมีความสำคัญในการวางแผนการรักษาและจัดการระยะยาว ช่วยบ่งบอกถึงแนวโน้มในการพัฒนาของอาการตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ รวมถึงปัจจัยที่มีผลต่อผลลัพธ์ของโรค
การพยากรณ์โรค (Prognosis)
การพยากรณ์โรคสมาธิสั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ลักษณะอาการ อายุ เพศ สถานะทางสังคม ปัจจัยทางพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับการรักษาที่ได้รับ และการสนับสนุนจากครอบครัวและโรงเรียน
1. ลักษณะอาการ
ลักษณะอาการทางคลินิก ระดับความรุนแรงของอาการ และอายุที่เริ่มแสดงอาการ ล้วนส่งผลต่อการพยากรณ์โรค จากผลการวิจัยพบว่า เด็กที่เริ่มมีอาการตั้งแต่ในช่วงวัยเด็กเล็กมักมีความเสี่ยงสูงกว่าที่จะเกิดปัญหาในระยะยาว และมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาทางสังคม การเรียนรู้ และการทำงานมากกว่ากลุ่มคนทั่วไปเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่
ผู้ที่มีอาการสมาธิสั้นและอยู่ไม่นิ่งมาก อย่างต่อเนื่องตั้งแต่วัยเด็กเล็กโดยที่อาการไม่ทุเลาลง จะมีความก้าวร้าวและอยู่ไม่นิ่งที่โรงเรียน และมีอารมณ์แปรปรวน (emotion dysregulation) ที่บ้าน สูงกว่าผู้ที่มีอาการน้อย และผู้ที่มีอาการทุเลาลง และเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่จะมีพฤติกรรมต่อต้านสังคม (antisocial) มากกว่าผู้ที่มีอาการเล็กน้อยอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีอัตราการถูกจับกุม ถูกออกจากโรงเรียนกลางคัน และว่างงานสูงกว่า
2. อายุและการพัฒนา
ผลการวิจัยระบุว่า เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นมักจะแสดงอาการลดลงเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ แต่ประมาณร้อยละ 30-60 จะยังคงมีอาการที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรมในวัยผู้ใหญ่ เช่น ภาวะซึมเศร้า และความวิตกกังวล
3. ปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
งานวิจัยพบว่าความผิดปกติของสารสื่อประสาท โดยเฉพาะโดปามีน (dopamine) มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดสมาธิสั้น รวมถึงการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
นอกจากนี้ปัจจัยสิ่งแวดล้อม เช่น การสัมผัสสารพิษ การคลอดก่อนกำหนด และการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม ก็มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดโรคและการพยากรณ์โรค
4. การรักษาที่ได้รับ
การใช้ยารักษาในกลุ่มกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง (stimulants) เช่น เมทิลเฟนิเดต (methylphenidate) และพฤติกรรมบำบัด (behavioral therapy) เป็นวิธีการรักษาหลักที่ได้รับการยอมรับ การรักษาที่เหมาะสมและต่อเนื่องช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับอาการของโรคได้ดีขึ้น และส่งผลต่อการพยากรณ์โรคในทางที่ดี การวินิจฉัยได้เร็ว และเริ่มรักษาตั้งแต่อายุน้อย ช่วยลดความรุนแรงของอาการในวัยผู้ใหญ่
ยารักษาสมาธิสั้นช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจ่อและลดอาการหุนหันพลันแล่น ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยามีโอกาสที่จะมีพยากรณ์โรคที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในด้านการเรียนและการเข้าสังคม
พฤติกรรมบำบัดโดยมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนการควบคุมอารมณ์ การปรับตัวในสังคม และการพัฒนาเทคนิคการจัดการเวลา มีผลสำคัญต่อการลดอาการของสมาธิสั้นในระยะยาว
เด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นสมาธิสั้นและไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมมักประสบปัญหาทางสังคม เช่น การถูกปฏิเสธจากกลุ่มเพื่อน การมีผลการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน และอาจมีพฤติกรรมก้าวร้าวในภายหลัง
5. การสนับสนุนทางสังคม การสนับสนุนทางสังคม ทั้งจากครอบครัวและสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น โรงเรียนและชุมชน มีบทบาทสำคัญในการพยากรณ์โรค เด็กที่ได้รับการสนับสนุนและการดูแลช่วยเหลือที่เหมาะสมมักจะมีแนวโน้มที่จะสามารถปรับตัวได้ดีขึ้น
พัฒนาการของโรคสมาธิสั้นในวัยผู้ใหญ่
แม้ว่าอาการของโรคสมาธิสั้นจะลดลงเมื่อเติบโตขึ้น โดยเฉพาะอาการซุกซนและหุนหันพลันแล่น แต่การศึกษาพบว่า ผู้ป่วยร้อยละ 50-60 ยังคงแสดงอาการบางอย่างของโรคในวัยผู้ใหญ่ แต่ความรุนแรงของอาการลดลง เช่น การขาดสมาธิ ความสามารถในการวางแผน การจัดการเวลา และการจัดการงาน
นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่มักมีแนวโน้มสูงที่จะประสบปัญหาทางสังคม การทำงาน และความสัมพันธ์มากกว่าผู้ที่ไม่มีโรค ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต และการประสบความสำเร็จในชีวิต
การฝึกทักษะการจัดการตัวเอง และการบำบัดรักษาทางจิตวิทยา ช่วยให้สามารถปรับตัว และจัดการกับอาการของตนได้ดีขึ้น การรักษาด้วยยามีความจำเป็นในบางกรณีเช่นเดียวกัน
บทสรุป
การพยากรณ์โรคสมาธิสั้นเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งทางด้านพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และการรักษาที่เหมาะสม การเข้าใจถึงปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้การวางแผนการรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดผลกระทบที่เกิดจากโรคสมาธิสั้นในระยะยาวได้ และช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
เอกสารอ้างอิง
ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา. (2565). คู่มือการดูแลสุขภาพจิตเด็ก กลุ่มปัญหาการเรียน. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
American Psychiatric Association. (2013). Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (5th ed.). Washington, DC.
Barkley, R. A. (2015). Attention-Deficit Hyperactivity Disorder: a handbook for diagnosis and treatment (4th ed.). Guilford Press.
Boland, R. & Verduin, M. L., eds. (2022). Neurodevelopmental disorders and other childhood disorders. In: Kaplan and Sadock’s synopsis of psychiatry 12th ed. (e-book). Wolters Kluwer; pp. 306-725.
Hinshaw, S. P., & Scheffler, R. M. (2014). The ADHD explosion: myths, medication, money, and today’s push for performance. Oxford University Press.
Sasser, T. R., Kalvin, C. B., & Bierman, K. L. (2016). Developmental trajectories of clinically significant ADHD symptoms from childhood to adolescence. Abnorm Psychol, 44(5), 815-28.
Wilens, T. E., Biederman, J., & Spencer, T. J. (2006). ADHD across the lifespan: The child with attention-deficit/hyperactivity disorder grows up. Primary Psychiatry.
บทความทั้งหมดยินดีให้นำไป เผยแพร่เพื่อความรู้ได้ โดยกรุณาอ้างอิงแหล่งที่มา
ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา. (2567). สมาธิสั้นกับการพยากรณ์โรค. จาก https://www.happyhomeclinic.com/adhd05-prognosis.html
(บทความต้นฉบับ: ตุลาคม 2567)
นพ.ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
การศึกษา
· แพทยศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
· วุฒิบัตรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สาขาจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น (จุฬาฯ)