ศูนย์วิชาการ แฮปปี้โฮม
รวบรวมและเผยแพร่ ข้อมูลความรู้ทางวิชาการ ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาเด็กและวัยรุ่น
รวมถึงการรับจัดฝึกอบรม สัมมนา กิจกรรมวิชาการ นิทรรศการเผยแพร่ความรู้
เพื่อเป็นการเรียนรู้ร่วมกันระหว่าง ผู้ปกครอง นักวิชาการ และประชาชนทั่วไปที่สนใจ
แนวทางดูแลสมาธิสั้นสำหรับครู
ADHD care for teacher
นพ.ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
บทนำ
สมาธิสั้น (Attention-Deficit/ Hyperactivity Disorder - ADHD) เป็นโรคทางจิตเวชที่พบได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่น ที่มีปัญหาการควบคุมสมาธิ การกระทำที่หุนหันพลันแล่น และพฤติกรรมที่ซุกซน ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้และความสัมพันธ์ในสังคม
ครูมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและช่วยเหลือเด็กที่มีสมาธิสั้น เนื่องจากครูต้องรับมือกับความท้าทายของโรคนี้ในชั้นเรียนโดยตรง การมีความรู้และเข้าใจแนวทางการดูแลที่เหมาะสม จะช่วยให้ครูสามารถจัดการกับปัญหาพฤติกรรม และส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กสมาธิสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทความนี้จะแสดงถึงแนวทางที่ได้รับการยอมรับในการดูแล และจัดการเด็กสมาธิสั้นในชั้นเรียน เพื่อส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรและส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก
1. การจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ให้เหมาะสม
การจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ในชั้นเรียนให้เหมาะสม เป็นก้าวแรกที่สำคัญสำหรับการสนับสนุนเด็กที่มีสมาธิสั้น การจัดห้องเรียนให้เป็นระเบียบ ลดสิ่งรบกวน และสร้างพื้นที่เฉพาะ ช่วยให้เด็กสามารถจดจ่อกับการเรียนได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ควรจัดที่นั่งให้เด็กสมาธิสั้นอยู่ใกล้กับครู เพื่อให้สามารถกระตุ้นเตือนเรียกสมาธิ ควบคุม และสนับสนุนได้อย่างใกล้ชิด ไม่ควรให้เด็กนั่งติดหน้าต่างหรือประตู เพราะเด็กจะวอกแวกเสียสมาธิง่าย และไม่ควรจัดให้เด็กนั่งติดกับนักเรียนที่ชอบเล่น ชอบคุย ระหว่างเรียน
การศึกษาพบว่า การจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมช่วยเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ และลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. การใช้วิธีการสอนที่ยืดหยุ่นและมีโครงสร้าง
เด็กที่มีสมาธิสั้นมักจะประสบปัญหาในการจัดระเบียบ และการติดตามเนื้อหาการเรียน ดังนั้นครูควรใช้วิธีการสอนที่มีโครงสร้างชัดเจน เช่น การแบ่งเนื้อหาเป็นขั้นตอนสั้น ๆ และกำหนดเวลาการเรียนที่ไม่ยาวเกินไป เพื่อให้เด็กสามารถจดจ่อได้
นอกจากนี้ การสอนที่มีความยืดหยุ่น เช่น การใช้สื่อการเรียนที่หลากหลาย หรือการแบ่งกลุ่มเพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง ยังช่วยส่งเสริมให้เด็กที่มีสมาธิสั้นสามารถเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น
เมื่อพบว่าเด็กหมดสมาธิ ควรให้เด็กมีกิจกรรมเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง เช่น ช่วงครึ่งหลังของคาบเรียน ควรอนุญาตให้เด็กลุกจากที่ได้บ้าง แต่ในทางสร้างสรรค์ เช่น ให้ไปล้างหน้า มาช่วยครูแจกสมุด จะช่วยลดความเบื่อของเด็กลง และเรียนได้นานขึ้น
3. การสื่อสารที่ชัดเจนและมีความเข้าใจ
การสื่อสารเป็นปัจจัยสำคัญในการดูแลเด็กที่มีสมาธิสั้น ครูควรสื่อสารด้วยความชัดเจน ใช้ภาษาที่ง่าย กระชับ และตรงไปตรงมา เพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจสิ่งที่ต้องการให้ทำ หรือห้ามไม่ให้ทำ
การใช้สัมผัสทางร่างกายช่วยเสริม เช่น สะกิดแขน แตะตัวอย่างนุ่มนวล ตบบ่าเบา ๆ กอด หรือจูงมือให้ลุกขึ้น จะช่วยกระตุ้นให้เด็กมีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่บอกได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ การรับฟังและแสดงความเข้าใจในความรู้สึกของเด็กจะช่วยให้เด็กมีความไว้วางใจ และรู้สึกว่าตนเองได้รับการสนับสนุน ครูควรให้ความสำคัญกับการสื่อสารที่สร้างความมั่นใจแก่เด็ก เช่น การใช้ภาษาเชิงบวกในการแนะนำพฤติกรรมที่เหมาะสม ไม่ตำหนิติเตือน ต่อว่าเป็นเด็กไม่ดี หรือใช้อารมณ์กับเด็ก
4. การใช้ระบบการให้รางวัลและเสริมแรงเชิงบวก
การเสริมแรงเชิงบวก (positive reinforcement) เป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพสำหรับการจัดการพฤติกรรมในเด็กสมาธิสั้น
ครูสามารถให้รางวัลหรือคำชมเชย เมื่อเด็กทำตามกฎในชั้นเรียนหรือปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม การให้รางวัลอาจอยู่ในรูปแบบของการสะสมคะแนน หรือการให้เวลาพักสั้น ๆ
งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า การเสริมแรงเชิงบวกช่วยลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ และเพิ่มความสามารถในการควบคุมตนเอง
5. การใช้เทคนิคการจัดการพฤติกรรมในชั้นเรียน
การจัดการพฤติกรรมที่มีประสิทธิภาพ เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญในการสนับสนุนเด็กที่มีสมาธิสั้น ครูควรใช้เทคนิคการจัดการพฤติกรรม เช่น การตั้งกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน การอธิบายผลลัพธ์ของการกระทำที่ไม่เหมาะสม และการให้เวลาพักสั้น ๆ เพื่อช่วยให้เด็กสามารถผ่อนคลายและปรับตัวได้
นอกจากนี้ ควรใช้การลงโทษแบบค่อยเป็นค่อยไป และเน้นให้เด็กเข้าใจว่าการกระทำใดเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เทคนิคการจัดการพฤติกรรมช่วยให้ครูสามารถควบคุม และสร้างบรรยากาศที่เป็นระเบียบเรียบร้อยในชั้นเรียน
6. การส่งเสริมทักษะการจัดการอารมณ์และการแก้ไขปัญหา
เด็กที่มีสมาธิสั้นมักหุนหันพลันแล่น มีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ และการตัดสินใจ เช่น การโกรธหรือหงุดหงิดง่าย
ครูสามารถช่วยส่งเสริมทักษะเหล่านี้ได้ โดยการสอนเทคนิคในการจัดการอารมณ์ให้กับเด็ก เช่น การหายใจลึก การฝึกการควบคุมการหายใจ
การทำสมาธิ การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การนับเลขในใจ การฝึกความอดทน (delayed gratification) หรือการพักช่วงสั้น ๆ เมื่อรู้สึกเครียด
จะช่วยให้เด็กสามารถจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกของตนเองได้ดีขึ้น หรือเพื่อช่วยให้เด็กสงบลง
นอกจากนี้ การสอนทักษะการแก้ปัญหา เช่น การคิดอย่างมีระบบ และการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน จะช่วยให้เด็กสามารถจัดการกับสถานการณ์ที่ท้าทายได้ดีขึ้น
7. การร่วมมือกับผู้ปกครองและผู้เชี่ยวชาญ
การร่วมมือและสื่อสารกับผู้ปกครองเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลเด็กที่มีสมาธิสั้น เนื่องจากผู้ปกครองเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับพฤติกรรมของเด็กมากที่สุด การแลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมมือกันในการวางแผนการดูแล จะช่วยให้การสนับสนุนเด็กมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ครูควรติดต่อสื่อสารกับผู้ปกครองอย่างสม่ำเสมอ เพื่ออัพเดตความก้าวหน้าในการเรียนรู้และพฤติกรรมของเด็ก รวมถึงการวางแผนร่วมกันในการสนับสนุนพฤติกรรมที่เหมาะสมในบ้านและที่โรงเรียน ความร่วมมือนี้จะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจ และรู้สึกได้รับการสนับสนุนจากทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน
นอกจากนี้ การร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะแพทย์ที่ดูแลรักษา โดยมีการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ถึงพฤติกรรมและปัญหาของเด็กในชั้นเรียน และปรับแนวทางการดูแลให้เหมาะสมสำหรับเด็กที่มีปัญหาสมาธิสั้น ซึ่งจะช่วยให้ครูและผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์สามารถดูแลเด็กได้อย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
8. การพัฒนาความรู้และทักษะของครู
ครูมีบทบาทสำคัญในการจัดการพฤติกรรมของเด็กสมาธิสั้น การศึกษาแสดงให้เห็นว่าเมื่อผู้ปกครองและครูมีส่วนร่วมในการใช้เทคนิคการจัดการพฤติกรรม เด็กจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในเรื่องของการควบคุมตนเอง
การเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสมาธิสั้น และเทคนิคการจัดการพฤติกรรมที่เหมาะสมสำหรับเด็กสมาธิสั้น เป็นสิ่งสำคัญ ครูควรเข้าร่วมการอบรมหรือศึกษาเอกสารวิชาการที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาทักษะและความเข้าใจในการจัดการเด็กที่มีสมาธิสั้น
การเพิ่มพูนความรู้จะช่วยให้ครูมีความมั่นใจในการจัดการพฤติกรรม และสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและเอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ของเด็กที่มีสมาธิสั้น
บทสรุป
การดูแลเด็กที่มีสมาธิสั้นในชั้นเรียนต้องอาศัยความเข้าใจและเทคนิคการจัดการที่เหมาะสม ครูมีบทบาทสำคัญในการจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ให้เหมาะสม การใช้วิธีการสอนที่ยืดหยุ่นและมีโครงสร้าง การสื่อสารที่ชัดเจนและมีความเข้าใจ การใช้ระบบการให้รางวัลและเสริมแรงเชิงบวก การใช้เทคนิคการจัดการพฤติกรรมในชั้นเรียน การส่งเสริมทักษะการจัดการอารมณ์และการแก้ไขปัญหา และการร่วมมือกับผู้ปกครองและผู้เชี่ยวชาญ
การพัฒนาความรู้และทักษะของครูเกี่ยวกับสมาธิสั้น ยังช่วยให้ครูมีทักษะที่เหมาะสมในการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เป็นมิตร เอื้อต่อการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กในระยะยาว
เอกสารอ้างอิง
ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา. (2565). คู่มือการดูแลสุขภาพจิตเด็ก กลุ่มปัญหาการเรียน. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
Barkley, R. A. (2015). Attention-Deficit Hyperactivity Disorder: a handbook for diagnosis and treatment (4th ed). Guilford Press.
Boland, R. & Verduin, M. L., eds. (2022). Neurodevelopmental disorders and other childhood disorders. In: Kaplan and Sadock’s synopsis of psychiatry 12th ed. (e-book). Wolters Kluwer; pp. 306-725.
DuPaul, G. J., & Stoner, G. (2014). ADHD in the schools: assessment and intervention strategies (3rd ed). Guilford Publications.
Evans, S. W., Owens, J. S., Wymbs, B. T., & Ray, A. R. (2018). Evidence-based psychosocial treatments for children and adolescents with attention-deficit/hyperactivity disorder. J Clin Child Adolesc Psychol, 47(2): 157-98.
Fabiano, G. A., Pelham, W. E., Coles, E. K., Gnagy, E. M., Chronis-Tuscano, A., & O’Connor, B. C. (2009). A meta-analysis of behavioral treatments for attention-deficit/hyperactivity disorder. Clin Psychol Rev, 29(2): 129-40.
Johnston, C., & Mash, E. J. (2001). Families of children with attention-deficit/hyperactivity disorder: review and recommendations for future research. Clin Child Fam Psychol Rev, 4(3): 183-207.
Miller, C. (2024). Behavioral treatments for kids with ADHD. From https://childmind.org/article/behavioral-treatments-kids-adhd/#full_article
บทความทั้งหมดยินดีให้นำไป เผยแพร่เพื่อความรู้ได้ โดยกรุณาอ้างอิงแหล่งที่มา
ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา. (2567). แนวทางดูแลสมาธิสั้นสำหรับครู. จาก https://www.happyhomeclinic.com/adhd12-teacher.html
(บทความต้นฉบับ: ตุลาคม 2567)
นพ.ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
การศึกษา
· แพทยศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
· วุฒิบัตรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สาขาจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น (จุฬาฯ)